ปฏิทินรับเงิน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนตุลาคม 2564 เงินเข้าวันไหน ใช้จ่ายอะไรได้บ้าง

ปฏิทินรับเงิน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนตุลาคม 2564

 

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนตุลาคม 2564 มีเงินเข้าเท่าไร ยังจะได้รับส่วนลดก๊าซหุงต้ม ค่าไฟ ค่าน้ำประปา อยู่หรือไม่ เงินเข้าวันไหน มาเช็กข้อมูลบัตรคนจนล่าสุด

วันที่ 1 ตุลาคม 2564

วงเงินซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค คนละ 200-300 บาท/เดือน

          ผู้มีสิทธิ์รับเงิน :ทุกคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

  • กลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ได้รับ 300 บาท/เดือน
  • กลุ่มที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท ได้รับ 200 บาท/เดือน

โครงการเพิ่มกำลังซื้อ คนละ 200 บาท/เดือน

           ผู้มีสิทธิ์รับเงิน : ทุกคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับการเพิ่มวงเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 200 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2564 โดยไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ และไม่สามารถสะสมยอดไว้ในเดือนถัดไป

ค่ารถโดยสารสาธารณะ

          ผู้มีสิทธิ์รับเงิน : ทุกคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้) แบ่งเป็น

  • ค่าโดยสารรถเมล์ รถไฟฟ้า 500 บาท/เดือน (ใช้ชำระค่าโดยสารด้วยระบบ e-Ticket เฉพาะผู้ถือบัตรใน 7 จังหวัด คือ กทม., นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร และนครปฐม)
  • ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาท/เดือน
  • ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาท/เดือน

วงเงินซื้อก๊าซหุงต้ม 55 บาท/3 เดือน

          ผู้มีสิทธิ์รับเงิน : ทุกคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้)

วงเงินซื้อก๊าซหุงต้ม ปรับเพิ่มจากเดิม 45 บาท ต่อ 3 เดือน เป็น 55 บาท ต่อ 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ใช้สำหรับเป็นส่วนลดในการซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการที่ได้รับเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร EDC) โดยเงินจะเข้าบัตรทุก 3 เดือน แต่หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ภายใน 3 เดือน จะถูกตัดยอดเงินไป

วันที่ 18 ตุลาคม 2564

ค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาท/เดือน/ครัวเรือน

          ครม. มีมติให้ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ออกไปอีก 12 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 และเพิ่มวงเงินช่วยเหลือ จากเดิม 230 บาท เป็น 315 บาท

  • กรณีใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกัน 3 เดือน ให้ใช้สิทธิ์ค่าไฟฟ้าฟรี ตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
  • กรณีใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย/เดือน ให้ใช้สิทธิ์ตามมาตรการนี้ในวงเงิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน
  • กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย/เดือน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าเองทั้งหมด

ผู้มีสิทธิ์รับเงิน : ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด และได้ลงทะเบียนรับสิทธิ์เรียบร้อย (ถ้าเคยลงทะเบียนแล้วสามารถใช้สิทธิ์ได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่)

วิธีลงทะเบียน

ค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาท/เดือน/ครัวเรือน

          ต่ออายุให้จากมาตรการเดิม โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาท/เดือน/ครัวเรือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 (สำหรับใบแจ้งค่าน้ำเดือนพฤศจิกายน 2564 – ตุลาคม 2565)

  • กรณีใช้น้ำประปา เกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท จะได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท โดยส่วนเกินต้องชำระเอง
  • กรณีใช้น้ำประปา เกิน 315 บาท ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าประปาเองทั้งหมด

ผู้มีสิทธิ์รับเงิน : ครัวเรือนที่ใช้น้ำประปาไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด และได้ลงทะเบียนรับสิทธิ์เรียบร้อย (ถ้าเคยลงทะเบียนแล้วสามารถใช้สิทธิ์ได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่)

วิธีลงทะเบียน

หมายเหตุ : ต้องนำใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าและใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาไปชำระเงินตามปกติก่อน จากนั้นหน่วยงานจะส่งรายชื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาในวงเงินที่กำหนดให้กรมบัญชีกลาง สั่งจ่ายเงินคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่อง e-Money ของเดือนถัดไป

วันที่ 22 ตุลาคม 2564

เงินช่วยเหลือผู้พิการ 200 บาท

          ผู้มีสิทธิ์รับเงิน : ตามปกติผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับการโอนเงินเบี้ยความพิการ 800 บาท/เดือน เข้าบัญชีธนาคาร อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2565 ครม. มีมติให้เพิ่มเบี้ยความพิการอีก 200 บาท รวมเป็น 1,000 บาท/เดือน สำหรับผู้พิการที่อายุ 18 ปีขึ้นไป และมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะแบ่งจ่ายดังนี้

  • 800 บาท : โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเหมือนเดิม ทุกวันที่ 10 ของเดือน
  • เงินเพิ่มเติมอีก 200 บาท จากกองทุนประชารัฐ : จ่ายเข้ากระเป๋าเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเงินจะเข้าบัญชีวันที่ 22 ของทุกเดือน

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถสอบถามได้ที่ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 0-2109-2345 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-17.30 น. หรือที่กรมบัญชีกลาง โทร. 0-2270-6400 ในวัน-เวลาราชการ